โรคไบโพลาร์ โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว (Bipolar Disorder) ปัจจุบันการเจ็บป่วยจากภาวะเครียดในชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องใกล้ตัวที่พบได้บ่อย สามารถแสดงอาการได้ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ แต่ยังมีความผิดปกติทางด้านอารมณ์อีกชนิดหนึ่งที่พบได้ไม่ยากนัก โดยที่ผู้คนในสังคมจำนวนมากยังไม่รู้จักหรือคุ้นเคย แม้แต่คนที่ป่วยเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองป่วย และไม่ยอมรับ ทำให้ขาดการดูแลรักษาที่เหมาะสม ก่อให้เกิดปัญหา หรือความเสียหายได้มากมาย ทั้งกับตนเอง และความทุกข์ใจแก่คนในครอบครัวหรือคนรอบข้างได้ โรคที่กำลังกล่าวถึงนี้ ก็คือ โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) หรือ โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว การมีความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ช่วยให้สามารถเข้าใจ และให้ความช่วยเหลือผู้ที่มีอาการได้อย่างถูกวิธี รวมทั้งสามารถป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากอาการของโรคนี้ได้
โรคไบโพลาร์ คืออะไร
โรคไบโพลาร์ เป็นโรคที่มีความผิดปกติของอารมณ์เป็นหลัก มีอาการแสดงออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มอาการแมเนีย (Mania) คือ อารมณ์ดี หรือคึกคัก สนุกสนาน และกลุ่มอาการซึมเศร้า (Depress) จึงเรียกโรคนี้ว่า “โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว” (ขั้วบวก = แมเนีย และ ขั้วลบ = ซึมเศร้า)
ลักษณะอาการของโรคไบโพลาร์

- กลุ่มอาการแมเนีย (Mania) – คือ มีอารมณ์ครึกครื้น พูดมาก พูดเร็ว ความคิดพรั่งพรูมั่นใจในตนเองสูง เรี่ยวแรงเพิ่ม นอนน้อยกว่าปกติ วอกแวก มีการตัดสินใจที่ไม่เหมาะสม เช่น ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย เล่นการพนัน ทำเรื่องเสี่ยงอันตรายผิดกฎหมาย บางคนหงุดหงิดก้าวร้าวได้ง่ายถ้าถูกขัดใจ คนที่มีอาการแมเนียจะไม่รู้สึกว่าตัวเองผิดปกติคิดว่าช่วงนี้ตนเองอารมณ์ดีสบายใจ รู้สึกขยันอยากทำงาน และมักปฏิเสธการรักษา
- กลุ่มอารมณ์ซึมเศร้า (Depress) – คือ อาการเบื่อหน่าย ท้อแท้ มองทุกอย่างในแง่ลบ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย ไม่มีกำลังใจ ความจำไม่ดี สมาธิลดลง นอนไม่หลับหรือนอนมากกว่าปกติรู้สึกผิด ไร้ค่า บางรายคิดอยากตาย ซึ่งมีไม่น้อยที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย
สาเหตุของโรคไบโพลาร์
ปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่แน่นอนของการเกิดโรคไบโพลาร์ แต่มีหลักฐานว่าเกิดจากหลายสาเหตุ และหลายปัจจัยร่วมกัน จากการวิจัยจำนวนมาก ระบุว่า โรคไบโพลาร์ เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของสมอง โดยมีสารสื่อนำประสาทที่ไม่สมดุล ทำให้เซลล์สมองทำงานได้ไม่ปกติ สมองที่เคยควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติจึงทำงานบกพร่องไป เกิดเป็นอาการต่างๆ ของโรคไบโพลาร์
อีกทั้งยังพบว่า ร้อยละ 50 ของผู้ป่วยไบโพลาร์ มีสาเหตุจากพันธุกรรม โดยคนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้จะมีโอกาสเป็นโรคมากกว่าคนทั่วไป เช่น ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคซึมเศร้า ลูกจะมีโอกาสประมาณร้อยละ 15 – 25 ที่จะเป็นโรคไบโพลาร์ด้วย
ทั้งนี้ โรคไบโพลาร์ พบได้ประมาณ ร้อยละ 1.5 – 5 ของประชากรทั่วไป ช่วงอายุที่มักพบว่ามีอาการครั้งแรก คือ ช่วง 15 – 19 ปี แต่ผู้ป่วยบางคนอาจเริ่มมีอาการในระยะก่อนเข้าวัยรุ่น หรือวัยรุ่นตอนต้นก็ได้ โดยการเจ็บป่วยครั้งแรกมักสัมพันธ์กับการมีเหตุการณ์ตึงเครียดในชีวิตเป็นตัวกระตุ้น เช่น การเสียชีวิตของคนในครอบครัว คนที่รัก หรือการผิดหวังจากความรัก การเรียน หรือการงาน เป็นต้น
ผู้ป่วยไบโพลาร์ที่มีอายุเริ่มต้นป่วยน้อยเท่าใด ยิ่งพบภาวะโรคร่วม เช่น โรควิตกกังวล การติดสารเสพติดเพิ่มขึ้น มีโอกาสเป็นซ้ำบ่อยขึ้น ช่วงเวลาที่อารมณ์ปกติสั้นลง แนวโน้มการพยายามฆ่าตัวตาย และพฤติกรรมรุนแรงเพิ่มขึ้น มีงานวิจัยรายงานว่า หากผู้ป่วยเคยมีอาการแมเนียแล้ว 1 ครั้ง มีโอกาสกลับเป็นซ้ำอีก
มากกว่าร้อยละ 90 และเมื่อเวลาผ่านไป อาการต่างๆ จะเป็นบ่อยขึ้น และรุนแรงมากขึ้น
การดูแลรักษาโรคไบโพลาร์

เนื่องจากโรคนี้เกิดจากการเสียสมดุลของสารสื่อนำประสาท ดังนั้น “ยา” จึงเป็นปัจจัยหลักของการรักษาที่ช่วยปรับระดับสารสื่อนำประสาทให้เข้าสู่สมดุล ปัจจุบันมียาอยู่หลายชนิดที่มีประสิทธิภาพในการรักษา ยากลุ่มนี้ไม่ใช่ยากล่อมประสาทหรือยานอนหลับ ไม่ทำให้ติดยาเมื่อใช้ในระยะยาว แต่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 – 4 สัปดาห์ จึงเห็นผล
ยาที่ใช้รักษาโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว ได้แก่ ยาในกลุ่มยาควบคุมอารมณ์ ยาต้านโรคจิต และยาต้านซึมเศร้า ซึ่งการใช้ยาเหล่านี้ขึ้นกับการพิจารณาของแพทย์ที่รักษาผู้ป่วย
- ยาควบคุมอารมณ์
ยากลุ่มนี้เป็นยาหลักที่ใช้ทั้งรักษาในขณะที่ผู้ป่วยมีอาการซึมเศร้า และเมื่อมีอาการอารมณ์ดีผิดปกติ
และยังใช้ป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้ด้วย ยากลุ่มควบคุมอารมณ์นี้ออกฤทธิ์ช้า เมื่อปรับยาครั้งหนึ่งต้องรออย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ ยาจึงเริ่มออกฤทธิ์ ผู้ป่วยที่ใช้ยาในกลุ่มนี้มักต้องถูกเจาะเลือดดูระดับยาในร่างกายเพื่อช่วยในการปรับยาด้วย และยาในกลุ่มนี้มักเป็นยาต้องห้ามในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์โดยเฉพาะใน 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เพราะอาจทำให้เด็กในท้องพิการได้
- ยาต้านโรคจิต
ใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการวุ่นวายและมีพฤติกรรมที่สร้างปัญหามาก และปัจจุบันยังมีงานวิจัยรับรองว่าใช้คุมอารมณ์และป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้ด้วย แพทย์จึงมักให้การรักษาด้วยยาต้านโรคจิต ยาในกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ไวและช่วยให้ผู้ป่วยสงบสติอารมณ์ควบคุมตนเองได้ดีขึ้น
- ยาต้านซึมเศร้า
มักจะใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการอยู่ในระยะซึมเศร้า แพทย์สามารถให้การรักษาด้วยยาควบคุมอารมณ์โดยไม่ต้องให้ยาแก้โรคซึมเศร้าก็ได้ แต่บางครั้งแพทย์อาจเลือกที่จะให้ยาต้านซึมเศร้าด้วยเพื่อให้ได้ผลแน่นอนขึ้น แล้วค่อยๆ ลดยาจนหยุดยาได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วย “อารมณ์ดีผิดปกติ”
โดยทั่วไป เมื่อเริ่มรักษา แพทย์มักสามารถควบคุมอาการของผู้ป่วยได้ในเวลาประมาณ 1 เดือน และผู้ป่วยมักมีอาการเป็นปกติในเวลาประมาณ 2 เดือน หลังจากนั้นยังต้องรับประทานยาเพื่อควบคุมอาการต่อไปอีกประมาณ 9 – 12 เดือน แล้วค่อยพิจารณาหยุดยา
โรคไบโพลาร์เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายสนิทได้ คือ หายกลับไปทำงานเป็นคนเดิมได้ แต่อาจไม่หายขาด วันดีคืนดีอาจกลับมามีอาการอีก ในรายที่มีอาการป่วยมาหลายครั้ง หรือค่อนข้างถี่ แต่ละครั้งอาการรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้อาการกลับมาอีก
การดูแลสุขภาพจิตใจจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่ถ้าเป็นโรคนี้ไปแล้วเราควรปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพียงเท่านี้เราจะสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้เป็นปกติเหมือนกับคนอื่นเช่นกันค่ะ