สารกันบูดในชาไข่มุก อันตรายกว่าที่คิด!!
ชาไข่มุกเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในยุคปัจจุบัน ทั้งในเด็ก วัยรุ่นและวัยทำงาน เพราะเรื่องรสชาตและความหนึบของไข่มุกเวลาเคี้ยวทำให้รู้สึกเพลิน แต่ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมเนื่องจากชาไข่มุกให้พลังงานสูงมาก โดยชาไข่มุก 1 แก้ว ให้พลังงานประมาณ 240-360 กิโลแคลอรี ทั้งยังอุดมไปด้วยน้ำตาล ครีมเทียม นมข้นหวาน คาร์โบไฮเดรตจากไข่มุก โดยรวมแล้วพบน้ำตาลในชาไข่มุกสุดถึง 18 ช้อนชา โดยปกติแล้วไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกินวันละ 6 ช้อนชา ซึ่งน้ำตาลและไขมันอิ่มตัวในนมต่างก็เป็นโทษต่อสุขภาพของเรา ยิ่งถ้าใช้ครีมเทียมที่มีไขมันทรานส์ก็ยิ่งอันตรายต่อหัวใจมากขึ้น เพราะไขมันทรานส์เป็นไขมันตัวร้ายที่เข้าไปเพิ่มไขมันชนิดเลว (LDL)ในร่างกาย เพิ่มระดับไตรกลีเซอไรด์ และลดปริมาณไขมันชนิดดี
นอกจากนี้ยังพบว่าในเม็ดไข่มุกนั่นยังมีสารกันบูดประเภทกรดเบนโซอิกและกรดซอร์บิก ถ้าหากมีการบริโภคมากจนเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นเดียวกัน

สารกันบูด
คือ วัตถุที่ใช้ถนอมอาหารและยืดอายุในการเก็บรักษา ผู้บริโภคได้รับอันตรายจากสารกันบูดได้ เพราะแม้ร่างกายจะมีกลไกขับสารกันบูดออกทางปัสสาวะได้เอง แต่การบริโภคอาหารที่มีสารกันบูดติดต่อกันเป็นประจำจะทำให้ร่างกายขับสารเหล่านั้นออกมาไม่ทัน จนกลายเป็นสารพิษตกค้างสะสมที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยตามมาได้

เมื่อได้รับสารกันบูดเกินปริมาณจะมีอาการ ดังนี้
– มีอาการวิงเวียน ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
– ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร ท้องเสียหรือเป็นโรคที่เกิดจากอาหาร เช่น อาหารเป็นพิษ
– กลไกการดูดซึมสารหรือการใช้สารอาหารในร่างกายเปลี่ยนแปลงไป
– มีปัญหาเกี่ยวกับตับและไต
– เป็นภาวะเมทฮีโมโกลบินนีเมีย (Methemoglobinemia) ที่อาจทำให้มีอาการคลื่นไส้ หายใจไม่ออก ตัวเขียว เป็นลม และหมดสติ ซึ่ง อันตรายมากหากเกิดในเด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีภาวะซีด หรือผู้ที่เป็นโรคเลือด
ส่วนการรับประทานอาหารที่มีสารกันบูดในปริมาณน้อยแต่บริโภคติดต่อกันเป็นเวลานานก็อาจก่อให้เกิดพิษสะสมในร่างกายอย่างเรื้อรัง ซึ่งสารบางชนิดอาจเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้

นอกจากนี้ หากเด็กได้รับสารกันบูดติดต่อกันนาน ๆ ก็อาจส่งผลให้เป็นไฮเปอร์ได้ด้วย เนื่องจากมีงานวิจัยหนึ่งทดลองแบ่งเด็กจำนวน 277 คนออกเป็น 2 กลุ่ม โดยให้กลุ่มแรกดื่มน้ำผลไม้ที่มีส่วนประกอบเป็นสารกันบูดปริมาณ 45 มิลลิกรัม ส่วนอีกกลุ่มดื่มน้ำผลไม้ที่ปราศจากสารกันบูด โดยให้ดื่มวันละครั้งเท่ากันเป็นเวลา 3 เดือน หลังจบการทดลองพบว่าเด็กกลุ่มที่ดื่มน้ำผลไม้ที่มีสารกันบูดมีพฤติกรรมที่ซนมากขึ้นกว่ากลุ่มที่ดื่มน้ำผลไม้ธรรมดาอย่างมีนัยสำคัญ
แนวทางรับมือสารกันบูดในอาหาร
- เลือกซื้ออาหารที่มีบรรจุภัณฑ์ และมีฉลาก ระบุผู้ผลิต สถานที่ผลิตชัดเจน ระบุวันผลิต และวันหมดอายุของผลิตภัณฑ์ มีเครื่องหมายและเลขสารบบอาหารของ อย.
- บริโภคอาหารหลายชนิดหมุนเวียนกันไป เพื่อไม่ให้เกิดการสะสมสารพิษตกค้าง เพราะร่างกายคนเรามีกลไกขับสารพิษทางระบบขับถ่าย หากได้รับสารพิษในปริมาณไม่มากและไม่บ่อย
- รับประทานผักผลไม้สดเป็นประจำ นอกจากใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย วิตามินบางชนิดและสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติยังทำปฏิกิริยาต้านการเกิด มะเร็งได้ด้วย
- หลีกเลี่ยงอาหารปรุงสำเร็จ หรืออาหารพร้อมบริโภคบรรจุกล่องที่ไม่ได้ขายหมดวันต่อวัน เพราะอาหารเหล่านี้หากไม่บรรจุในภาชนะปิดสนิทหรือเก็บในที่รักษาอุณหภูมิ อาจบอกได้ว่ามีสารกันบูดเจือปนในปริมาณมาก
ควรกินแต่น้อย หมั่นออกกำลังกายและทานอาหารที่มีประโยชน์นะคะ ♥