โปรไบโอติก (Probiotics) ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะผลลัพธ์ที่ได้เรื่องสุขภาพในหลากหลายมิติทั้งช่วยเรื่องการขับถ่าย แก้ปัญหาลำไส้แปรปรวน เสริมสร้างการทำงานของเม็ดเลือดขาว ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และช่วยเรื่องการลดไขมันไม่ดีในร่างกาย ส่งผลดีต่อรูปร่าง ผิวพรรณ รวมไปถึงการทำงานของสมอง อารมณ์และความรู้สึก เพราะจุลินทรีย์ดีในโปรไบโอติกในลำไส้ประสานการทำงานเชื่อมต่อกับระบบประสาทและสมอง (Gut brain axis) เรียกได้ว่าตัวเดียวช่วยส่งเสริมสุขภาพได้หลายส่วนในร่างกาย แต่หลายคนกำลังสงสัยว่าคุณแม่ท้องกินโปรไบโอติกได้หรือไม่ โปรไบโอติกดีต่อแม่และลูกอย่างไร บทความนี้มีคำตอบค่ะ
โปรไบโอติกคืออะไร ดีต่อแม่และเด็กอย่างไร?
โปรไบโอติก (Probiotic) คือจุลินทรีย์ชนิดดีที่อยู่ในลำไส้ของมนุษย์เราตั้งแต่กำเนิด ทารกรับได้จากคุณแม่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์และได้รับผ่านกระบวนการคลอดแบบธรรมชาติ เมื่อคลอดออกมาและเติบโตจุลินทรีย์ดีเหล่านี้จะลดลงตามอายุ และลักษณะการใช้ชีวิตที่รับประทานอาหารมัน อาหารทอด ของหวาน รวมถึงการได้รับยา anti-biotic หรือยาปฏิชีวนะต่างๆ ก็จะส่งผลให้จุลินทรีย์ดีเหล่านี้ลดน้อยลง จะสังเกตได้ว่าเด็กๆมักมีอาการท้องเสียหรือท้องผูกจากการได้รับยาปฏิชีวนะอยู่บ่อยๆ ดังนั้นการเสริมโปรไบโอติกจึงมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาลำไส้แปรปรวนของเด็กๆได้ ส่วนคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร จะมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย เพราะคุณแม่บางคนไม่กล้าเบ่งเพราะมีแผลจากการคลอด ประกอบกับช่วงพักฟื้นไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกายเท่าไหร่นัก ทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ง่าย การรับประทานโปรโบโอติก นอกจากจะช่วยเรื่องระบบขับถ่ายของคุณแม่แล้ว ยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันต่อแม่และลูกในครรภ์ได้อีกด้วย
การศึกษาของคุณแม่ตั้งครรภ์กับการรับประทานโปรไบโอติก
การศึกษานี้เป็นการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (Randomized controlled trials; RCT) โดยผู้ร่วมการทดลองเป็นสตรีมีครรภ์อายุครรภ์ไม่เกิน 36 สัปดาห์ จำนวน 415 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่ให้ดื่มนมที่มีโปรไบโอติก Lactobacillus rhamnosus GG, L. acidophilus La-5 5×1010 CFU และ Bifidobacterium Lactis Bb-12 5×109 CFU และอีกกลุ่มดื่มนมที่ไม่มีโปรไบโอติกทุกวัน ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 36 ของการตั้งครรภ์ถึง 3 เดือนหลังคลอดระหว่างให้นมลูก ผลการทดลองพบว่าเมื่อเด็กอายุ 2 ปี เด็กกลุ่มที่แม่ดื่มนมที่มีโปรไบโอติกมีอุบัติการณ์ของการเกิดโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังในเด็ก หรือ Atopic Dermatitis (AD) น้อยกว่า และไม่พบผลข้างเคียงใด ๆ ในแม่และเด็ก ดังนั้นสรุปได้ว่าการที่คุณแม่รับประทานโปรไบโอติกตั้งแต่ตั้งครรภ์สามารถรับประทานได้โดยไม่มีผลข้างเคียงและยังช่วยให้เด็กที่คลอดออกมามีภูมิคุ้มกันต่อโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังซึ่งมีลักษณะทำให้ผิวแห้ง มีการอักเสบและมีอาการคันมากได้อีกด้วย
ที่มา Probiotics in pregnant women to prevent allergic disease: a randomized, double-blind trial (C.K. Dotterud et al, 2010)
โปรไบโอติกปลอดภัยสำหรับแม่ตั้งครรภ์และให้นมบุตรหรือไม่?
จากผลการทดลองพบว่าโปรไบโอติกไม่น่าจะผ่านไปสู่น้ำนมแม่ได้ เนื่องจากใน systematic review ที่รวบรวมการหลายทดลองในหญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่ไตรมาสแรกจนถึงหลังคลอด โดยให้โปรไบโอติกแตกต่างกันไปในแต่ละการศึกษา เช่น L.rhamnosus, B.breve, B.lactis, B.bifidum, L,salivarius และ L.paracasei ไม่พบการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ใด ๆ และไม่พบว่าทารกที่คลอดมีน้ำหนัก ความสูง หรืออัตราการผ่าคลอด แตกต่างจากกลุ่มควบคุม
ที่มา Are probiotics safe for use during pregnancy and lactation? (Jackie Elias, Pina Bozzo, and Adrienne Einarson, 2011)
โปรไบโอติกช่วยลดอาการท้องร่วง ท้องเสียในเด็กได้จริงหรือ?
Review article นี้เป็นการรวบรวมการศึกษาการใช้โปรไบโอติกในเด็กเพื่อช่วยบรรเทาอาการท้องร่วงจากหลายสาเหตุ ได้แก่
- ท้องร่วงจากการติดเชื้อไวรัส : พบว่าการให้โปรไบโอติก Lactobacillus ในโรคท้องร่วงจากการติดเชื้อ rotavirus จะช่วยลดระยะเวลาของอาการและลดความถี่ของการขับถ่ายในช่วงที่มีอาการท้องร่วงได้
และจากการรวบรวมการศึกษาเกี่ยวกับผลของโปรไบโอติกต่อระยะเวลาของการเกิดอาการท้องร่วงจาก rotavirus ในเด็กอายุ 1-72 เดือน จำนวน 14 การศึกษา โดยโปรไบโอติกที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็น Lactobacillus rhamnosus นอกจากนี้ยังมี Lactobacillus acidophilus, Lactobacillus paracasei, Lactobacillus reuteri และ Bifidobacteria การศึกษานี้สรุปว่าการให้โปรไบโอติกช่วยลดระยะเวลาของการเกิดอาการท้องร่วงจาก rotavirus ในเด็กได้อย่างมีนัยสำคัญ
ที่มาEfficacy of probiotic use in acute rotavirus diarrhea in children: A systematic review and meta-analysis (Ahmadi E, Alizadeh-Navaei R, Rezai M.S., 2015)
- ท้องร่วงที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาปฏิชีวนะ : จาก meta-analysis พบว่าการให้โปรไบโอติกในเด็กช่วยลดอุบัติการณ์และลดระยะเวลาในการเกิด antibiotic associated diarrhea (AAD) ได้
- ท้องร่วงในสถานดูแลเด็ก : จากการศึกษาให้โปรไบโอติก L.reutari 108 CFU ในเด็กอายุ 6-36 เดือน พบว่าช่วยลดจำนวนครั้งและระยะเวลาในการเกิดอาการท้องร่วงได้ และในอีกการศึกษาหนึ่งซึ่งให้โปรไบโอติก L.reuteri 5×108 CFU ในเด็กอายุ 1-6 ปี พบว่าช่วยลดโอกาสการเกิดโรคท้องร่วงได้เช่นกัน
- ท้องร่วงเฉียบพลันที่ไม่ทราบสาเหตุ : จาก Systematic review พบว่าการให้โปรไบโอติกในเด็กช่วยลดระยะเวลาและลดความถี่ของการขับถ่ายในช่วงที่มีอาการท้องร่วงได้โดยไม่พบผลข้างเคียง
Review article นี้เป็น Systematic review ของการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (Randomized controlled trials; RCT) ของการให้โปรไบโอติกสำหรับรักษาโรคท้องร่วงเฉียบพลันในชุมชน ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี จำนวน 8 การศึกษา โปรไบโอติกที่ใช้ เช่น Lactobacillus rhamnosus, Lactobacillus acidophilus, Bifidobacterium bifidum และ Bifidobacterium infantis สรุปได้ว่าโปรไบโอติกช่วยลดระยะเวลาของอาการท้องร่วงได้ 14% และลดความถี่ในการถ่ายอุจจาระระหว่างที่มีอาการท้องร่วง 13.1%
ที่มาSystematic review of probiotics for the treatment of community-acquired acute diarrhea in children (Jennifer A Applegate et al, 2013)
โปรไบโอติกช่วยโรคระบบทางเดินหายใจของเด็กหรือไม่?
Article นี้เป็น systematic review จากการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (Randomized controlled trials; RCT) ในเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุไม่เกิน 18 ปี จำนวน 23 การศึกษา เพื่อศึกษาผลของการบริโภคโปรไบโอติกต่อการเกิดโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ (RTIs) ผลการวิเคราะห์พบว่าการบริโภคโปรไบโอติกลดจำนวนผู้ป่วยที่เกิดโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอย่างมีนัยสำคัญ เด็กที่เสริมด้วยโปรไบโอติกมีจำนวนวันของการเกิดโรคติดเชื้อทางเดินหายใจต่อคนน้อยลงเมื่อเทียบกับเด็กที่ได้รับยาหลอก และมีจำนวนวันที่ขาดเรียนน้อยลง สรุปได้ว่าการบริโภคโปรไบโอติกสามารถช่วยลดอุบัติการณ์ของ RTI ในเด็กได้
ที่มาProbiotics for prevention and treatment of respiratory tract infections in children A systematic review and meta-analysis of randomized controlled Trials (Yizhong Wang et al, 2016)
คุณแม่ตั้งครรภ์-ให้นมบุตรเลือกโปรไบโอติกแบบไหนดี
จะเห็นได้ว่าโปรไบโอติกมีประโยชน์สำหรับคุณแม่ตั้ครรภ์และให้นมบุตร รวมถึงเด็กๆอย่างมาก การเสริมโปรไบโอติกควรเช็คดูสายพันธุ์ของจุลินทรีย์ที่มีส่วนช่วยในเรื่องต่างๆตามข้อมูลการศึกษาข้างต้น ยกตัวอย่างสายพันธ์ที่แนะนำ ได้แก่
- แล็กโทบาซิลลัส รามโนซัส (Lactobacillus rhamnosus)
- แล็กโทบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส (Lactobacillus acidophilus)
- แล็กโทบาซิลลัส พาราคาเซอิ (Lactobacillus paracasei)
- แล็กโทบาซิลลัส ซาลิวาเรียส (Lactobacillus salivarius)
- แล็กโทบาซิลลัส แก็สเซอรี (Lactobacillus gasseri)
- บิฟิโดแบคทีเรียม เบรเว (Bifidobacterium breve)
- บิฟิ โดแบคทีเรียม บิฟิ ดัม (Bifidobacterium bifidum)
- บิฟิโดแบคทีเรียม ลองกัม (Bifidobacterium longum)
- บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (Bifidobacterium lactis)
- แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี (Lactobacillus reuteri)
Probiotic แต่ละสายพันธุ์มีคุณสมบัติเด่นที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ probiotics หลากหลายสายพันธุ์จึงมีประสิทธิภาพมากกว่าทั้งในด้านการทำงาน เช่น ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ลดการเกิด IBS ลดภาวะท้องเสีย กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจส่งเสริมการเจริญเติบโตซึ่งกันและกัน และการที่มีปริมาณสูงเพียงพอจะก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ
เกร็ดความรู้ ตามธรรมชาติมีโพรไบโอติกและพรีไบโอติกที่มีอยู่ในนมแม่ ได้แก่
- โปรไบโอติกสายพันธุ์ บิฟิ โดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบในลำไส้ใหญ่ของทารก ที่ได้ดื่มนมแม่ เป็นปริมาณประมาณ 95% ของจำนวนแบคทีเรียทั้งหมดในร่างกาย และจะมีปริมาณลดลงเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่
- โปรไบโอติกสายพันธุ์ แล็กโทบาซิลลัส (Lactobacillus) เป็นแบคทีเรียที่ทารกจะได้รับผ่านการคลอดแบบวิธีธรรมชาติ (จากช่องคลอดของแม่)
- พรีไบโอติก Galacto-oligosaccharide พบได้ในนมแม่ตามธรรมชาติ
