พฤติกรรมการกินอาหารของคนไทยในยุคปัจจุบัน เรียกได้ว่ายึดติดอยู่กับความหวานหรือน้ำตาล อาหารที่กินอยู่ในชีวิตประจำวันและในเครื่องดื่มทุกชนิด จะมีรสหวานปนอยู่ด้วยเสมอ
การบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไปทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคไขมันพอกตับ และที่น่ากังวลก็คือ ปัจจุบันพบว่า การบริโภคน้ำตาลของคนไทยอยู่ในระดับสูงมาก คือมากกว่า 20 ช้อนชาต่อวัน ทำให้เราเป็นโรคเบาหวานกันตั้งแต่เด็ก ๆ เรียกว่าโรคเบาหวานเป็นโรคฮิตของคนไทย และสถิติจากสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ระบุว่าในคนไทยช่วงอายุ 15 ปีขึ้นไป ทุก ๆ 100 คนจะเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน 7 คน

ฟรักโทส หรือ ฟรุกโทส เป็นน้ำตาลพื้นฐานจำพวกโมโนแซ็กคาไรด์ เหมือนกับกลูโคส ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ ฟรักโทสพบได้มากในผักและผลไม้ เช่น เบอร์รี เมลอน ซึ่งปริมาณที่ได้รับมักไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เนื่องจากร่างกายสามารถจัดการได้ แต่ถ้าหากร่างกายได้รับฟรักโทส ในปริมาณที่สูง โดยส่วนใหญ่มักรับมาจากสารให้ความหวานที่สกัดจากข้าวโพด high fructose corn syrup (HFCS),ซึ่งประกอบไปด้วยฟรักโทส fructose 55% และน้ำตาลกลูโคส 45% ซึ่งมีรสหวานกว่าน้ำตาลทั่วไปถึง 1.7 เท่า และมีราคาถูกกว่าน้ำตาลจากธรรมชาติมาก ทำให้ผู้ผลิตอาหารรายใหญ่นิยมนำมาใช้ให้ความหวานแทนน้ำตาลชนิดอื่นๆ และในปัจจุบันอาหารแทบทุกชนิดจะมีการใส่น้ำตาลฟรักโทสแทบทั้งสิ้น เช่น น้ำผึ้ง น้ำผลไม้กล่องและเครื่องดื่มที่มีแคลอรี่ต่ำ


การบริโภคน้ำเชื่อมฟรักโทส ในปริมาณที่สูงถึงร้อยละ 42 ขึ้นไปแสดงให้เห็นถึงปัญหาด้านสุขภาพและเกิดผลเสียต่อร่างกายดังนี้
1. หากบริโภคฟรักโทสเกิน 6 ช้อนชาอยู่เป็นประจำ ฟรักโทสไปสะสมที่ตับและมีการสร้างไขมัน Triglyceride ออกมาในกระแสเลือด ซึ่งไตร์กลีเซอร์ไรด์จะเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด
2. ฟรักโทสไประงับฮอร์โมนอิ่ม (Leptin hormone) ทำให้กินไม่รู้จักอิ่มและกินเกินความต้องการจึงทำให้น้ำหนักเพิ่มหรือเป็นโรคอ้วนลงพุง
3. การรับประทานฟรักโทสมากไปจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน และเบาหวานชนิดที่2
4. น้ำตาลฟรักโทสเป็นตัวการหนึ่งของการเพิ่มระดับกรดยูริก ดังนั้นการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟรักโทสสูงจะนำไปสู่การสร้างกรดยูริกในระดับที่สูงด้วยเช่นกัน ซึ่งภาวะที่ร่างกายมีระดับยูริกในเลือดที่สูงเกินไปจะทำให้มีความเสี่ยงของการเกิดโรคเกาท์ นอกจากนี้ระดับของกรดยูริกที่สูงนั้นยังมีผลต่อการเกิดไขมันเกาะตับได้ด้วย จากงานวิจัยที่ศึกษาในผู้ป่วยโรคไขมันเกาะตับในเด็กและผู้ใหญ่พบว่า ระดับกรดยูริกมีความสัมพันธ์กับการเกิดไขมันพอกตับ โดยระดับของกรดยูริกที่เพิ่มขึ้น 1 mg/dL จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไขมันเกาะตับได้ถึงร้อยละ 3
5. น้ำตาลฟรักโทสเป็นแหล่งอาหารของเชื้อโรคในลำไส้ ซึ่งมีบทบาทต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ของเรา โดยมีผลในการปรับเปลี่ยนสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้จนนำไปสู่การเกิดภาวะไขมันเกาะตับได้
ถึงแม้ว่าน้ำตาลฟรักโทสจะเป็นภัยร้ายต่อตับและร่างกายของเรา แต่ฟรักโทสตามธรรมชาติที่พบในผักและผลไม้นั้น ไม่ได้มีผลร้ายเท่ากับน้ำตาลฟรักโทสสังเคราะห์หรือน้ำเชื่อมฟรักโทสในเครื่องดื่ม เช่น น้ำอัดลม เนื่องจากน้ำตาลฟรักโทสจากธรรมชาติมีคุณค่าทางอาหารรวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระที่มากกว่า แต่ปริมาณน้ำตาลที่กินเข้าไปต้องไม่มากเกินความจำเป็นของร่างกาย