ขึ้นชื่อว่าการนอนหลับ หลายท่านๆอาจจะคิดว่ามันก็เป็นแค่กิจกรรมส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา
เป็นการพักผ่อนหลังจากเหนื่อยล้าจากกิจกรรมต่างๆมาทั้งวัน เพื่อเติมพลังงานให้ร่างกายกลับมาสดชื่น
และให้สมองของเรากับมาโปร่งพร้อมลุยในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง ดังนั้นหลายๆคนก็คิดง่ายๆว่า แค่หัวถึงหมอน หลับตา เท่านี้ก็สามารถพักผ่อนและฟื้นฟูเรี่ยวแรงของเราได้แล้ว เราจะรู้ได้ยังไงละว่าการนอนของเรานั้น
มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะทำให้ร่างกายและสมองของเราได้พักผ่อนเต็มที่? ไม่ใช่ว่ายิ่งนอนยิ่งเหนื่อย
ตื่นมายิ่งง่วง และพาลทำให้ตลอดทั้งวันนั้นไม่สดชื่น เหมือนเมื่อคืนยังไม่ได้นอน วันนี้จึงขออนุญาติพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับวงจรการนอนหลับของคนเรา และที่สำคัญคือ REM Sleep ที่หลายๆท่านอาจ
จะเคยได้ยิน แต่ไม่ทราบว่ามันมีประโยชน์อย่างไร เป็นช่วงหลับลึกหรือไม่ พร้อมทั้งแนะนำทิปเล็กๆน้อยๆในการนอนหลับให้ได้ประสิทธิภาพที่สุด เรามาดูไปพร้อมๆกันเลยค่ะ

ก่อนอื่นต้องขอแนะนำก่อนค่ะ ว่าในการนอนหลับของเรานั้นจะแบ่งเป็นสองพาร์ทหลักๆนั่นก็คือช่วง NREM Sleep (Non Rapid Eye Movement Sleep) และ REM Sleep (Rapid Eye Movement Sleep)
ซึ่ง NREM Sleep นั่นก็คือช่วงที่หลับปกติ สามารถแบ่งออกได้เป็นอีก 4 ระยะหลักๆค่ะ ในแต่ละระยะก็จะส่งผลกับร่างกายแตกต่างกันออกไป
ระยะที่ 1 เป็นระยะกึ่งหลับกึ่งตื่น
ระยะที่ 2 เป็นระยะเคลิ้มหลับ
ระยะที่ 3 และ 4 เป็นช่วงหลับลึก ร่างกายจะอยู่ในภาวะพักผ่อนมากที่สุด และมีการหลั่ง Growth Hormone ออกมา

ในส่วนของ REM Sleep หรือช่วงหลับฝันของเรานั่นเอง
การนอนหลับในช่วง REM นั้น เป็นช่วงวงจรที่กล้ามเนื้อต่างๆ หยุดทำงานหมดยกเว้น หัวใจ กระบังลม กล้ามเนื้อตาและกล้ามเนื้อเรียบ แต่สมองยังคงทำงานอยู่ราวกับตื่น จึงเป็นช่วงที่ฝันเป็นเรื่องเป็นราว หรืออาจเรียกได้ว่านอนหลับไม่สนิท มีการกลอกตาไปมา ดิ้นไปดิ้นมา หัวใจเต้นเร็วขึ้น บางรายอาจฝันจนบ่นพึมพำ โดยการนอนแบบนี้จะเกิดขึ้นในช่วงหลังของการนอนตั้งแต่ 1.30 ชั่วโมงเป็นต้นไป
REM Sleep เป็นช่วงที่สำคัญมากๆ ในการนอนหลับ และควรจะอยู่ในช่วงที่พอดีๆ เพราะ
มากเกินไปก็จะเพลีย สมองทำงานเยอะเกินไปในเวลานอน
น้อยเกินไปก็ไม่สดชื่น ร่างกายไม่ได้รับการซ่อมแซมอย่างเต็มที่
โดย REM Sleep จะส่งผลดีต่อการเรียนรู้, ความจำ และอารมณ์ หากเราขาดการนอนหลับแบบ REM อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและอารมณ์ได้เช่นกันค่ะ
